วันอาทิตย์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2553

Cosmetic Surgery Diaries - Beginning of the Third time Part 1

วันนี้มีแรงขึ้นเยอะเลยมาทำรีวิวหลังจากที่ได้ไปทำศัลยกรรมมาเป็นครั้งที่ 3 ดีกว่า ตัวนีนี่เองมีเรื่องให้เจอกับมีดหมอมาแล้วหลายต่อหลายครั้งตั้งแต่ยังอยู่ในวัยขบเผาะ
  • 3 ขวบ - โดนหมาที่บ้านกัดที่มือขวาเป็นการงับไว้แบบทะลุหน้ามือหลังมือระหว่างนิ้วกลาง  
  • 9 ขวบ - โดนหมาที่บ้าน (อีกแระ) ขยำขยี้ทั่วท้วนทั้งตัวเริ่มจากหน้ามีแผลที่หนังตา ใต้ตา คิ้ว ไล่ไปจนถึงแก้มข้างซ้าย หัวไหล่ซ้าย ซอกจุ๊กกรูแร้ซ้าย และต้นขาด้านขวา (แผลนี้เพราะอินังหมามันใช้ตรีนของมันแผ่กงเล็บจิกเราไว้) หนนี้เย็บไปเกือบ 100 เข็ม
  • 11 ขวบ - มีดบาดนิ้วเกือบขาดที่นิ้วนางข้างซ้าย
  • 20 ปี - ทำจมูกครั้งที่ 1
  • 20 ปีจิ๊ดๆ - แก้จมูกครั้งที่ 1 (กับหมอคนเดิม)
  • 24 ปี - ทำเลสิก
  • 26 ปี - แก้จมูกครั้งที่ 2 + ตัดปีก + ทำตา 2 ชั้น + ตกแต่งจู๊กน่มน๊มที่ไม่ยอมโพล่ (ฮึ่มมมม)
  • 26 ปี - อัพไซส์น่มน๊ม (อันนี้ยังไม่ได้ทำ แต่ไม่ยอมให้หลุดผังปีนี้แน่ แห่ะๆ)
 เป็นไงคะชีวิตของเขียบศรีโดนมีดหมอปู้ยีปู้ยำมาไม่น้อยใช่ม้าาา ..... ไม่ว่าจะโดยบังเอิญหรือว่าตั้งใจก้อตามจึงทำให้การตัดสินใจทำศัลยกรรมความงามครั้งที่ 3 นี้ เขียบศรีเลยไม่ค่อย concern เรื่องความเจ็บปวดซักเท่าไร แต่สิ่งที่สุดแสนจะตัดสินใจยากนี่สิคือการตัดสินเลือกหมอในครั้งนี้ 

สมัยก่อนตอนที่ทำครั้งแรกไม่ได้ศึกษาข้อมูลอะไรเลยยยยยย แค่รู้ว่าอยากทำ พอดีมีเพื่อนสนิทไปทำที่คลินิคนี้มาได้ประมาณเกือบๆปี เห็นว่าเพื่อนยังอยู่ดีมีสุขยังไม่ตาย หน้าไม่เน่า ก้อเลยไปหาหมอที่เดียวกับเพื่อนนี่แหละ หมอที่คลินิคนี้มี 2 คนเป็นสามีภรรยากัน เพื่อนทำกับคุณหมอสามี นีนี่ทำกับคุณหมอภรรยา ที่นี้เค้ามีซิลิโคน 3 ราคา คือ 15,000/20,000/25,000 ซึ่งความนิ่มของซิลิโคนก้อแตกต่างกันไป นีนี่เลือกแบบแพงสุดเพราะจนท.ที่เคาท์เตอร์บอกว่าราคานี้คุณหมอจะรับประกันทั้งชีวิต ไม่ดี ไม่สวย ไม่ถูกใจก้อจะแก้ให้ฟรี เห็นม่ะคะว่าการคำพูดที่บอกว่ามีการันตีต่างๆนั้นมันช่างน่ายั่วยวนขนาดไหน ก้อนัดวันทำเรียบร้อยแล้วก้อกลับไปคุ้ยๆหาแบบจมูกที่อยากได้เอามาเป็นแบบจมูกในอนาคต แบบตอนนั้นที่เลือกคือทรงจมูกของนักร้องสาวอายูมิ จำได้ว่าช่วงนั้นชีฮ๊อตมากๆเจอชีในหนังสือพวกคาวาอิหรือหนังสือแฟชั่นญี่ปุ่นตลอด (ยุคนั้นสาวเกายังมาไม่แรง) คุณหมอก้อจัดให้จมูกที่ได้มาก้อเลยสูงปริ๊ดดดดด มีหยดน้ำด้วย แต่อนิจจังผ่านที่ 3 เดือน หนังหน้ายังตึงๆ ปากขยับได้ไม่เต็มที่ ทำท่าแบบเม้มปากไม่ได้เลย แถมที่สำคัญเีบี้ยวทั้งแกนเลยค่ะ เวลาถ่ายรูปออกมาโ้อ้วแม่เจ้าประคุณลุนช่องเอ้ยยย นี่มันดาวมยุรีชัดๆ จบข่าวค่ะ ไปแก้อย่างด่วน 

แก้คราวที่ 1 นี้ก้อไปบอกคุณหมอถึงปัญหาที่เจอหน้าตึง ปากตึง แกนเบี้ยวต่างๆ คุณหมอก้อแบบก้อบอกว่าเลือกแบบสูงๆก้อเสี่ยงแบบเนี้ยแหละ แล้วจริงๆ อืมมม หมอว่าหน้าคุณอ่ะเบี้ยวทั้งหน้า ไม่มีอะไรสมประกอบ ช่วงนั้นก้อเออๆออๆกับคุณหมอไป แล้วก้อให้คุณหมอแก้โดยเสียค่าใช้จ่ายไปอีก 3,000 บาทถ้วน ไหงตอนแรกบอกว่าฟรีไม่รู้แต่ก้อแก้ไป 

คราวนี้ออกมาก้อได้ความสูงของส่วนปลายที่ลดลง และไม่มีขา ไม่มีหยดน้ำ แต่รู้สึกว่าตรงระหว่างตายังสูงเท่าเดิม ส่วนความเอียงก้อค่ะ ยังเอียงอยู่ที่ด้านเดิมโดยหมอบอกว่ากระดูกตรงส่วนจมูกซ้ายขวาของนีนี่ไม่เท่ากันถ้าอยากให้มันดูเท่ากันก้อต้องฉีดคอลลาเจนเพิ่มเองนะ โอ้วววว พอได้ยินว่าต้องฉีดเพิ่มด้วยเลยบอกหมอว่าไม่ต้องค่ะ ไม่เป็นไร น่ากลัวอ่ะ กลัวมันยิ่งออกมาไม่เท่ากันท่าจะปัญหาใหญ่เข้าไปอีก 

จริงๆการแก้ไขในครั้งนี้โดยส่วนตัวก้อถือว่าโอเคนะคะ พอใจมากในระดับหนึ่ง ถือแม้ว่าจะออกมาเบี้ยวก้อเหอะ เพราะถ้าไม่ถ่ายรูปแล้วคนทั่วไปก้อจะมองไม่ออกเลยว่ามันเบี้ยว และแม้แต่ตัวเองตอนส่องกระจกในทุกวันก้อยังรู้สึกมั่นใจในตัวเองอยู่ดี บางคนก้อบอกว่าไม่รู้นะเนี่ยว่าไปเสริมมาเพราะก้อดูสวยเนียน โด่งรับหน้าดี หุหุ ก้อเลยใช้ชีวิตอยู่กับซิลิโคนน้อยๆอันนี้มาได้เหยียบ 5 ปี 

แต่แล้วจุดกำเนิดของการคิดว่าสมควรแก่เวลาที่ต้องพึ่งมีดหมออีกซักที เพราะมันมีจุดขาวๆ ใสๆ เป็นวงๆขึ้นที่ปลายจมูกตรงส่วนที่แหลมที่สุด เอาล่ะหว่า น่าหวั่นใจจิงๆจะทะลุหรือไปทะลุหว่า ส่องกระจกดูทุกวันสังเกตุมาเกือบปีว่ามันใสขึ้น วงใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ตอนแรกก้อกลับไปหาคลินิคเดิม (ไม่เข็ดเนอะ) เพราะคิดว่าถ้าแก้ใหม่คงเสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่าที่อื่นอยู่แล้วแหละ จำได้ว่าหมอบอกว่า 2-3 พัน หนนี้เข้าไปปรึกษากับคุณหมอที่เป็นสามี เชื่อมั๊ยคะว่าถ้านีนี่เป็นคนจิตอ่อน หลังจากได้ฟังหมอพูดแล้วคงกลับไปฆ่าตัวตายแน่ๆ เพราะหมอบอกว่าก้อหน้าคุณอ่ะเบี้ยว ตาก้อไม่เท่ากัน จมูกก้อสั้น หน้าตาไม่สมประกอบดูพิกรพิการ แล้วผมอ่ะทำทรงอะไรมา (วันนั้นติดกิ๊บเปิดหน้าหมดค่ะ) ทำงานอะไรเป็นพริตตี้รึไง (แล้วเกี่ยวอะไรฟระ) แล้วหมอก้อสั่นหัว นีนี่ก้อถามกลับไปว่าแล้วคุณหมอแนะนำว่าให้ทำอะไรบ้างดี คุณหมอบอกว่าทั้งหน้าแหละ อ่ะกลับไปคิดดูอีกทีแระกัน เรื่องค่าใช้จ่ายหมอไม่รู้จำไม่ได้ จะบอกว่าน้ำเสียงคุณหมออ่ะพูดดีนะคะ แต่คำที่ใช้ + ท่าทางที่แสดงมันไม่โอเคเลย สรุปจบข่าวเปลี่ยนหมอเถอะตรู

ต่อมาเลยตั้งหน้าตั้งตาเข้าเว็บเก็บข้อมูลดูรีวิวผลงานจากคนไข้ฝีมือของหมอต่างๆ ดูไปก้อมึนไป เลือกไม่ถูกเล้ยยยย แหล่มๆทั้งน้านนน เลยต้องมานั่งนึกโจทย์ไว้ในใจว่าเราต้องการอะไรกันแน่ ที่ลิสต์ไว้เลยมีตามนี้
  1. แก้ไขปลายใสๆได้ (จะตัดต่อกระดูกอะไรยังไงก้อได้ ไม่เกี่ยง)
  2. ราคาไม่เกิน 30,000 บาท 
  3. ทรง - สไตล์ของจมูกที่คุณหมอที่ถนัดทำ (อยากได้แบบหยดน้ำ ไม่แหงน เห็นรูจมูกหน้าตรงน้อยๆ)
  4. หมอที่มีจรรยาบรรณจริงๆ ไม่ใช่เป็นนักธุรกิจ พูดจริงมี After Sale Service แบบที่ได้คุยกันไว้ก่อนจ่ายเงิน
เว็บที่มุ่งมั่นเข้าไปดูเป็นบ้าเป็นหลังก้อคือ www.dungdong.com พอได้ดูจากรีวิวของหลายๆคนก้อมาสะดุดตาคุณหมอเฉลิม ฟอร์จูน แหมมมม ชื่อเสียงของคุณหมอช่างยั่วยวนหัวใจให้เอาดั้งน้อยๆไปฝากชีวิตไว้ซะจริงๆ แต่พอดูไปดูมาก้อมาทั้งเสียงที่บอกว่าพอใจและไม่พอใจกับกับผลงานที่ออกมา ซึ่งอันนี้จริงๆก้อต้องยอมรับนะคะว่าการทำศัลยกรรมน่ะก้อเหมือนกับแฟชั่นนั้นแหละ ที่ต้องมีทั้งคนชอบ ไม่ชอบ ถูกใจ ไม่ถูกใจ แหวะ ยี้ ว้าว ก้อว่ากันไป ซึ่งเรื่องยังงี้ก้อขึ้นอยู่ที่ดวงของเราด้วยเหมือนกันนะคนอื่นทำออกมาสวยแต่ของเราอาจสวยไม่เท่าเค้าอะไรยังงี้ก้อได้ แต่สิ่งที่ทำให้เกิดความลังเลขึ้นมาอย่างแรงคือ คิวคุณหมอยาวเวอร์ ............... ขอย้ำว่าเวอร์มากกกกกกก โทรไปนัดทั้งแต่ต้นม.คขอเข้าไปปรึกษา ได้คิวมาปลายเดือนมี.ค แม่เจ้าประคุณลุนช่อง เลยกลับมาคิดว่าแระถ้าทำออกมาแล้วมันเกิดข้อผิดพลาดขึ้นล่ะ หมายถึงเบี้ยวเอ่ย ไม่ถูกใจเอ่ย บลาๆๆๆ แล้วเดี๊ยนจะทำยังไงล่ะคะ กว่าจะได้คิวเข้าไปคุยใหม่มิต้องรอไปถึงปีหน้านู้นเลยรึ หึหึหึ แค่คิดก้อถอดใจแระ มุ่งมั่นหาหมอคนใหม่อีกครั้ง 

คราวนี้ตัดตัวเลือกไปได้หลายหมอเพราะด้วยเรื่องราคาบ้าง เรื่องสไตล์บ้าง ตามความเห็นส่วนตัวนะคะคุณหมอบางท่่่านศัลยกรรมให้บางคนแล้วเค้าไม่ได้ดูเปลี่ยนไปในทางที่บวกขึ้นซักเท่าไร ซึ่งมันก้อไม่ได้ทำออกมาแล้วแย่ลง ไม่มีทางอยู่แล้ว แต่จริงๆแล้วการทำศัลยกรรมเพียงอย่างเดียวก้ออาจทำให้คนที่ดูธรรมด้า ธรรมดาดูมีเสน่ห์ขึ้นได้อย่างบอกไม่ถูก โดยที่เราสามารถมองข้ามส่วนที่บกพร่องบนใบหน้าของคนๆนั้นไปได้เลย หรือไม่คุณหมอบางท่านก้อทำออกมาได้สวยสุดๆเพราะคนไข้รายนั้นเค้ามีพื้นฐานหน้าตาที่ดีถึงดีมากเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่ในทางกลับกันลองดูคนไข้ที่พื้นฐานโครงสร้างหน้าตาธรรมดากลับไม่ได้ทำให้เค้าออกมาในด้านบวกขึ้นซักเท่าไร คือหน้าตาไม่เปลี่ยนแปลงว่ายังงั้นก้อได้ ไม่คมขึ้น ไม่หวานขึ้น ไม่ทำให้คนๆนั้นดูมีเอกลักษณ์ของตัวเองที่มากขึ้น - เนื้อหาส่วนนี้ขอย้ำว่าเป็นความคิดเห็นส่วนตัวนะคะ ไม่ตั้งใจนำไปพาดพิงถึงผู้ใดทั้งสิ้น  

ซึ่งตัวนีนี่เองก้อเข้าข่ายหน้าตาธรรมดา ประกอบกับโครงสร้างพื้นฐานกระดูกที่หน้าไม่สมส่วนแต่ต้องขอบอกว่าซิลิโคนอันเก่าที่ทำไป ทำให้ชีวิตของนีนี่มีความสุข คุณภาพชีวิตอยู่ในขั้นที่ดี แล้วก้อมีสร้างความมั่นใจให้ตนเองมากพอสมควรเลยนะ (ถึงแม้จะอยู่อย่างเบี้ยวๆก้อเถอะๆ ฮึ่มมมม) อันนี้ดูจากการใช้ชีวิตที่ผ่านมานะคะโดยเฉพาะเรื่องงาน ซึ่งสิ่งนี้แหละเลยทำให้ตัวเองรู้สึกว่าสมัยนี้เก่งอย่างเดียวไม่รอด เกิดช้า หน้าตากับบุคลิคก้อมีเอี่ยวมากๆ ทำให้เรากลายเป็นที่สนใจได้ง่ายและมากยิ่งขึ้น เฮ้ออออ เหนื่อย แพล่มมายามมากกก แต่คิดว่าน่าจะมีหลาย point ที่อาจจะเป็นประโยชน์ต่อคนอื่นได้นะคะ เด๋วไว้มาต่อ PART 2 นะก๊ะ ....       

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น